วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

วัณโรค

วัณโรค คือ โรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เล็กมากคือเชื้อ Mycobacterium tuberculosis ติดต่อโดยการสูดอากาศที่มีตัวเชื้อนี้เข้าไป ซึ่งเชื้อโรคชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความคงทนต่ออากาศแห้ง ความเย็น ความร้อน สารเคมี และอยู่ในอากาศได้นาน ยกเว้นไม่ทนทานต่อแสงแดด คนส่วนใหญ่มักคิดว่าวัณโรคเป็นโรคเกี่ยวกับปอด แต่ความจริงแล้ว เป็นได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกายเช่น ที่ต่อมน้ำเหลือง กระดูก เยื่อหุ้มสมอง ปอด แต่ที่พบและเป็นปัญหามากที่สุดในปัจจุบันคือ "วัณโรคปอด" มักพบในคนแก่คนที่ร่างกายอ่อนแอจากการเป็นโรคอื่น ๆ มาก่อน เช่น หวัด หัด ไอกรน พวกติดยาและโรคเอดส์และในคนที่ตรากตรำทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ ขาดอาหาร ดื่มเหล้าจัด หรือในคนที่มีประวัติใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรค เช่น นอนห้องเดียวกัน หรืออยู่บ้านเดียวกัน และพบว่าผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นวัณโรคแทรกซ้อนกันมาก และทำให้วัณโรคที่เคยลดลง มีการแพร่กระจายมากขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะทำให้แพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากติดต่อได้ง่ายโดยระบบทางเดินหายใจและมีอันตรายถึงชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

ตองกาแผ่นดินไหว 7.9 ริกเตอร์ ปลอดภัยไร้สึนามิถล่ม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (20 มี.ค.) ว่า เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงใต้ทะเลขนาด 7.9 ริกเตอร์ บริเวณชายฝั่งประเทศตองกาและเกิดคลื่นยักษ์สึนามิตามมา แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหาย หรือ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในฟิจิ หรือ ตองกา อย่างไรก็ตาม ล่าสุด มีการประกาศยกเลิกเตือนภัยคลื่นสึนามิแล้ว

ทั้งนี้ มีข้อมูลจากศูนย์สำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอยู่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงนูกูอะโลฟาในตองกา ราว 212.4 กิโลเมตร เมื่อเวลา 06.17 น.วันศุกร์ตาม เวลาท้องถิ่น หรือ เวลา 01.17 น. วันนี้ ตามเวลาในประเทศไทย และมีคลื่นยักษ์สึนามิที่อาจสร้างความเสียหายตามแนวชายฝั่งใกล้กับศูนย์กลางที่เกิดแผ่นดินไหวได้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประกาศยกเลิกเตือนภัยคลื่นยักษ์ที่เกาะตองกา นีอูเอ เคอร์มาเดค อเมริกันซามัว ซามัว วาลลิส-ฟูตูนาและฟิจิ แต่มีการเตือนว่าคลื่นบางส่วนอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ ขณะเดียวกันไม่ได้มีประกาศเตือนภัยคลื่นสึนามิตามชายฝั่งของออสเตรเลียซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ในส่วนประกาศเตือนภัยสึนามิที่นิวซีแลนด์นั้น ได้ยกเลิกไปแล้ว

แผนปลุกเศรษฐกิจ 6 เดือดจอด

ห่วงวิกฤติโลกกระชากไทยลงกันเหว เสนอครม.อีดฉีด 6 สาขาสัปดาห์หน้า
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เงินลงทุนเพื่อ กระตุ้นเศรษฐกิจในอีก 3 ปี วงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท จะนำไปใช้ใน 6 สาขาสำคัญคือ สาขาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ, สาขาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่งโลจิสติกส์ พลังงาน เทคโนโลยีสาร สนเทศและการสื่อสาร และสาธารณูปการ, อุตสาห กรรมการท่องเที่ยว, การลงทุนด้านการศึกษา, การลงทุนพัฒนาคุณภาพระบบบริการสาธารณสุข และเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หรือครีเอทีฟ อีโคโนมี่ ซึ่งสศช.กำลังพิจารณารายละเอียดในแต่ละโครง การเพื่อเสนอให้ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจเห็นชอบในวันที่ 25 มี.ค.นี้ ทั้งนี้ในแต่ละโครงการจะเน้นการสร้างงานและจ้างงานในประเทศ เชื่อมโยงให้เกิดการลงทุนจากนักธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่พร้อมอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทันที เพื่อให้ต่อเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเฉพาะการจ่ายเช็คช่วยชาติ 2,000 บาทที่คาดว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้แค่ 6 เดือนเท่านั้น ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ภายในปลายปีนี้ นอกจากนี้จากตัวเลขชี้วัดเศรษฐกิจล่าสุดในเดือนม.ค.และก.พ. ยังทรุดตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการส่งออก การนำเข้า โดยเฉพาะการนำเข้าวัตถุดิบและเหล็ก ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว การลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภาคเอกชน ยังถดถอยต่อเนื่องและต่ำกว่าเป้าหมายที่สศช. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง คาดการณ์ไว้ ขณะที่สถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยกู้เพราะไม่เชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจแม้รัฐบาลจะใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน 60,000 ล้านบาทแล้วก็ตาม แต่อัตราสินเชื่อ ยังไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องลงทุนเพื่อให้เกิด การสร้างงาน จ้างงาน เพื่อพยุงเศรษฐกิจเพื่อรักษาเสถียรภาพการบริโภคในประเทศ ไม่เช่นนั้นจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบสองขึ้นแน่นอน “รัฐบาลจำเป็นต้องใส่เงินลงไปในระบบเศรษฐกิจอย่างน้อยปีละ 500,000 ล้านบาท ใน อีก 3 ปีข้างหน้า และเป็นเงินเพิ่มเติมนอกเหนือจากงบลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีอยู่ในงบประมาณอยู่แล้วปีละ 6-7 แสนล้านบาท เพื่อทำให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวได้ปีละ 2-3% จากที่ติดลบในปัจจุบัน ส่วนแหล่งที่มาของเงินจะเป็นอย่างไรเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่ต้องดำเนินการ” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาเรื่องการออกพ.ร.ก.หรือพ.ร.บ. ปรับเพดานเงินกู้ให้ชัดเจน คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในเดือนเม.ย.หรือช้ากว่า และให้ธปท. ไปจัดทำข้อมูลเรื่องการกำหนดเพดานเงินกู้ว่าอัตราที่สูงที่สุดควรจะอยู่ที่ใด ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลเตือนมาตลอด ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ชะลอตัวต่อเนื่อง การที่จะหวังให้เศรษฐกิจกลับมาอยู่ในแดนบวกคงต้องรอถึงไตรมาสสุดท้าย และดูเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นหลัก แต่ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ประมาทและไม่ต้องการให้ประชาชนประมาทและไม่ต้องการให้ตกใจ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศยังพอขับเคลื่อนไปได้ นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท.กล่าวว่า การส่งออกในเดือนก.พ.ที่ติดลบน้อยลง ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ส่วนหนึ่งมาจากการส่งออกทอง คำจำนวนมาก ขณะที่การนำเข้าที่ลดลง ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจในประเทศจะแย่ลง เพียงแต่ผู้ประกอบการเป็นห่วงเรื่องค่าเงินที่อ่อนตัวลงมาก จึงเร่งนำเข้าสินค้าในช่วงก่อนหน้าเป็นจำนวนมาก.

ค้านเพิ่มอภิปราย

ยัน2วันเพียงพอ รบ.ตั้งทีมตอบโต้
จับตาศึกซักฟอกนายกฯ-5 รมต."วิปรัฐบาล-ปู่ชัย"ค้านเพิ่มวันอภิปราย ยัน 2 วัน เพียงพอแล้ว ตั้งทีมงาน 3 ชุดตอบโต้ฝ่ายค้าน “มาร์ค” ลั่นไม่มีนโยบายดักฟังฮัลโหลคู่แข่ง “เทพไท” ดักคอห้ามอภิปรายคดีเงินบริจาค ส่วน “เสธ.หนั่น” รับความหลัง “ปชป.” มีจุดอ่อน ฝ่าย “บุญจง” บอกใบ้สู้ราคาไม่ไหว ด้าน “เหลิม” เสี้ยมพรรคร่วมแตกคอ อ้าง “ปชป.” เคยถล่มอดีต “เติ้ง” 3 วันมาแล้ว ลั่นแฉข้อมูลเด็ดเงิน “ทีพีไอ” ไหลไปไหน ขณะที่ “เจ๊หน่อย” กรี๊ดปัดข่าวย้ายซบ “ภูมิใจไทย” เผยถูกลากโยงเกมรักสามเส้า อ้าง “ส.ส.ผึ้ง” โอดถูกกดดันอย่างหนักจนต้องทิ้งนายใหญ่
“มาร์ค”ไม่ฟันธงเพิ่มวันซักฟอก เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเสนอให้ขยายจำนวนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรี 5 คน เป็น 3 วันว่า เป็นเรื่องรัฐสภาเดี๋ยวก็ตกลงกันได้โดยดูตามสภาพความเป็นจริง และเมื่อเริ่มอภิปรายไปแล้วก็จะทราบเองว่าต้องใช้เวลากี่วัน แต่ถ้าขยายเวลาไปเลย การอภิปรายอาจจะเสร็จก่อนก็ได้ และที่จริงแล้วเราไม่มีปัญหา ตนยืนยันว่ารัฐบาลไม่ปิดกั้นอยู่แล้ว นายกฯ กล่าวปฏิเสธกระแสข่าวการพูดคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน เพื่อเลื่อนวันอภิปรายให้เร็วขึ้นว่า ตนไม่เคยคุยกับนายเนวินเลย และตนก็อยากให้เป็นสัปดาห์หน้า แต่เมื่อประธานรัฐสภาแจ้งว่าไม่สะดวก เพราะต้องไปร่วมกระบวนการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตนก็ต้องพร้อมต่อการอภิปรายในสัปดาห์นี้และต้องไปเลื่อนกำหนดการงานต่าง ๆ อีกมาก
ปัดข่าวดักฟังโทรศัพท์ “เหลิม” นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์วันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมา มีการพูดกันว่าถ้าฝ่ายค้านอภิปรายเรื่องเงิน 250 ล้านบาท มีการพาดพิงถึงใคร คนนั้นก็ต้องชี้แจง เมื่อถามว่า ร.ต.อ.เฉลิมอ้างว่าตอนนี้ถูกดักฟังทางโทรศัพท์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายนี้ ส่วนที่ฝ่ายค้านอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ ด้วยเรื่องเก่า ๆ เช่น เรื่องบรรพบุรุษของนายบรรหาร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ห้ามฝ่ายค้าน เมื่อถามต่อว่า การกระทำเช่นนี้จะทำให้บรรทัดฐานทางการเมืองตกต่ำลงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าประเด็นใดที่เห็นว่าทำให้คนไม่สมควรไว้วางใจให้บริหารราช การแผ่นดินต่อไปก็สามารถหยิบยกมาได้ ส่วนจะสมเหตุผลหรือไม่นั้นต้องไปดูข้อเท็จจริงกับเหตุ ผลที่นำเสนอ
“เทือก” ไม่เชื่อรัฐบาลถูกน็อก ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย อ้างว่ามี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำข้อมูลไปให้ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า เป็นไปไม่ได้ ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อถามต่อว่า ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่าอภิปรายตอนเช้า พอบ่าย 2 โมงก็สามารถน็อกรัฐบาลได้แล้ว นายสุเทพ หัวเราะก่อนที่จะตอบว่า “สื่อเชื่อหรือเปล่า อย่าไปวิจารณ์เลย ถ้าผมตอบ เดี๋ยวเขาโกรธเอา แต่ก็เอาเถอะ ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ทำไป ให้อยู่ในกฎเกณฑ์ กรอบกติกาก็แล้วกัน” ส่วนความเป็นไปได้เรื่องข่าวการวางแผนตากสินของพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มเสื้อแดงเพื่อนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาล รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ แต่เห็นว่าสิ่งที่ทำเป็นขบวนการ มีขั้นตอนที่สอดรับต่อเนื่องกัน และมีเป้าหมายที่มุ่งมาที่รัฐบาล มีการขัดขวางไม่ให้รัฐบาลทำหน้าที่ได้โดยสะดวก ซึ่งการทำอย่างนี้ทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียหาย ส่วนกรณีกลุ่มเสื้อแดงเลื่อนการชุมนุมมาเป็นวันที่ 22 มี.ค. นั้น ฝ่ายรัฐบาลยังไม่มีแผนหรือสั่งการให้ตำรวจรับมืออะไร เพราะยังไม่รู้ว่ากลุ่มเสื้อแดงจะไปชุมนุมที่ไหนอย่างไร
“ขุนคลัง” รอปะทะ “มิ่งขวัญ” ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ได้เตรียมข้อมูลพร้อมชี้แจงทุกประเด็น ไม่รู้สึกกังวลประเด็นใดเป็นพิเศษ และถือเป็นโอกาสที่จะอธิบายที่มาและขยายความเพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามที่ฝ่ายค้านพูดว่าตนเอื้อประโยชน์ให้คนนั้นคนนี้ ตนนึกไม่ออกว่าฝ่ายค้านหมายถึงอะไร คงต้องรอฟังและชี้แจงตามข้อกล่าวหา ส่วนที่ฝ่ายค้าน มอบหมายให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีต รมว.พาณิชย์ เป็นหัวหอกในการอภิปรายนั้น ตนยินดีที่จะมีผู้รู้เรื่องเศรษฐกิจมาเป็นผู้อภิปราย และคิดว่าถ้ามีการอภิปรายแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดที่แตกต่างกัน ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือประชาชน ต่อข้อถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่การลงมติไว้วางใจ รมว.คลัง จะต้องได้เสียงครบ 237 เสียง รมว.คลัง กล่าวว่า ไม่จำเป็น คิดว่ากฎกติกาคือเสียงข้างมาก แต่ยิ่งได้มากก็ยิ่งสะท้อนความไว้วางใจที่มี ซึ่งตนก็ไม่ได้คิดมาก มั่นใจจะชี้แจงได้ทุกประเด็น และพร้อมเสนอแนะทุกประเด็น แต่ก็จะรอดูว่าสุดท้ายเสียงสนับสนุนตนจะเป็นอย่างไร
“บุญจง” บอกใบ้สู้ราคาไม่ไหว นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการตั้ง 12 ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เพื่อเข้ามาช่วยดูแลข้อมูลให้กับ มท.1 และ มท.2 ว่า ได้ผ่านการพิจารณาในที่ประชุมพรรคแล้ว และยังมั่นใจจะชี้แจงได้ทุกประเด็น ส่วน ส.ส.ของพรรคจะยกมือโหวตอย่างไรให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. ไม่มีการสั่งการ ยืนยันว่าการโหวตลงคะแนนเสียงไว้วางใจรัฐมนตรีในการอภิปราย ไม่ใช่เป็นการชี้วัดว่า ส.ส. จะมาเข้าร่วมพรรค แต่อาจมีความเป็นไปได้ว่าหลังการอภิปราย จะมี ส.ส.บางส่วนสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพิ่ม แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีใครบ้าง นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย กล่าวถึงกระแสข่าวรัฐบาลได้พยายามซื้อตัว ส.ส. ฝ่ายค้านเพื่อยกมือโหวตให้กับรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า “มันหนักไป สู้ไม่ไหว”
เผย “ปชป.” มีอดีตเป็นจุดอ่อน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ดูประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านแล้วยังไม่มีอะไรมาก ส่วนเรื่องที่ทำให้อ่อนไหวก็คงจะเป็นเรื่องเก่า ๆ แต่พรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่น ส่วนกรณีของนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ในเรื่องชุมนุมปิดสนามบินนั้นก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดความเสียหาย และมั่นใจว่านายกฯ จะตอบคำถามเรื่องเงินบริจาคได้หมด ต่อข้อถามว่าในการลงมติอาจมี ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่ร่วมลงมติ พล.ต.สนั่น หัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า อาจจะเป็นไป นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ได้ประสานงานในเรื่องเสียงโหวต แต่ไม่ต้องห่วงพรรคชาติไทยพัฒนาสนับสนุนรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายเต็มที่ คงไม่ต้องให้ฟรีโหวต ส่วนหลังการอภิปรายแล้วจะมีการปรับ ครม. หรือไม่ขึ้น อยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ แต่ในส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ดักคอห้ามอภิปรายคดี 258 ล้าน นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเลื่อนวันอภิปรายทำให้รัฐบาลพบความฉุกละหุก เพราะต้องหาข้อมูลย้อนหลัง เช่น การเป็นสมาชิกพรรคของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2535 ซึ่งยังไม่มีคอมพิวเตอร์บันทึกข้อมูล ส่วนกรณี ที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะอภิปรายเรื่องเงินจำนวน 258 ล้านบาทของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ถือเป็นสิทธิ แต่ถ้าข้อมูลเกี่ยวข้องกับตัวบุคคลก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลนั้น ๆ ก็อย่าโยงถึงพรรคว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเรื่องนี้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำลังตรวจสอบ จึงไม่แน่ใจว่าจะ สามารถนำมาใช้อภิปรายเพื่อหวังผลทางการเมืองได้หรือไม่ เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม เคยทักท้วงตนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ว่าไม่ควรอภิปรายประเด็นคดีหมิ่นประมาทที่นายสมัครเป็นจำเลย เนื่องจากเรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม
ขุด “ปชป.” เคยถล่ม “เติ้ง” 3 วัน ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ให้สัมภาษณ์กรณีวิปฝ่ายค้านจะขอขยายเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ส่วนตัวเห็นว่า 2 วันกำลังพอดี แต่เพื่อน ส.ส. มีข้อมูลมากจึงอยากได้วันอภิปรายเป็น 3 วัน ซึ่งเมื่อปี 2539 พรรคประชาธิปัตย์เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจนายบรรหาร ศิลปอาชา นายกฯ และรมว.มหาดไทย ในขณะนั้น 3 วันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ประธานสภาระบุว่าถ้ามีประเด็นที่คาบเกี่ยวกันแต่ยังอภิปรายไม่หมดก็ขอให้หารือกันในที่ประชุมสภาได้ ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าญัตติของฝ่ายค้านกว้างเกินไปและจะมีการพาดพิงบุคคลอื่น ทำให้การอภิปรายออกนอกกรอบนั้น หัวหน้าทีมอภิปรายของฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเขียนญัตติคล้าย ๆ กับที่ประชาธิปัตย์เคยทำ ทั้งนี้การเขียนญัตติก็เหมือนการฟ้องที่ต้องฟ้องคลุม ส่วนรายละเอียดไปอภิปรายกันในสภา และจะพยายามพาดพิงบุคคลที่ 3 ให้น้อยที่สุดเฉพาะเท่าที่จำเป็น พรรคประชาธิปัตย์ขออย่าประท้วงมากเท่านั้น
“เหลิม” ลั่นทะลวงไส้ “ทีพีไอ” ต่อข้อถามว่า บริษัททีพีไอฯ ขู่จะฟ้องร้องถ้าถูกพาดพิง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ต้องมาขู่ ถ้าตนผิดก็ฟ้องได้อยู่แล้ว ทั้งนี้จำเป็นต้องพาดพิงถึงบริษัทนี้อยู่แล้ว เพราะเงินออกมาจากบริษัทดังกล่าว “ทีพีไอ เตรียมให้พร้อม ร.ต.อ.เฉลิมจะพูดถึงทีพีไอที่เอาเงินออกมาทั้งหมดกว่า 260 ล้านบาท 27 ครั้ง มีทั้งเช็ค ทั้งเส้นทางการเงินเรียบร้อย” เมื่อถามว่าจะมีการขยายผลในทางคดีความด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น หัวหน้าทีมอภิปรายฯ กล่าวถึงความมั่นใจว่าข้อมูลดังกล่าวจะสามารถล้มรัฐบาลได้ว่า ตนไม่เคยบอกว่าจะล้มรัฐบาล เพราะฝ่ายค้านโหวตก็แพ้ จึงล้มรัฐบาลไม่ได้อยู่แล้ว แต่มั่นใจว่าถ้าคนที่มีสติปัญญาฟังข้อมูลแล้วคงเข้าใจได้อย่างที่ตนคิด เมื่อถามว่า การนำเรื่องในอดีตมาอภิปรายจะเชื่อมโยงกับการบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันอย่างไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ขอถามว่าเมื่อครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์เคยอภิปรายนายบรรหารว่าเกิดที่ประเทศจีน หรือการอภิปราย ส.ส.กลุ่ม 16 กรณีธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ (บีบีซี) มันเป็นเรื่องอดีตหรือปัจจุบัน
รับลูกเรียก “ศรภ.” สอบดักฟัง พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นคร ราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่าถูกแอบดักฟังโทรศัพท์ในช่วงที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า เป็นเรื่องจริง ตนได้รับข้อมูลการเรียกรับค่าคอมมิสชันจากการจัดซื้อเครื่องดักฟังมูลค่า 250 ล้านบาทของศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด โดยบริษัทเอกชนรายหนึ่งมีโอกาสทำสัญญาซื้อขายกับกองทัพ เพราะมีการเอื้อ ประโยชน์จากนักการเมือง เนื่องจากเจ้าของ บริษัทดังกล่าวมีความใกล้ชิดกับคนในแก็งออฟ โฟร์ โดยให้ไปสอบถามกับนายธีรพล นพรัมภา อดีตเลขาธิการนายกฯ และ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า การจัดซื้อเครื่อง ดักฟังนี้เกิดขึ้นในสมัย คมช. ซึ่งขณะนั้นมีรายงานข่าวเรื่องงบลับและค่าคอมมิสชันจำนวนมากที่ยากจะตรวจสอบ อย่างไรก็ตามจะเชิญผู้บัญชา การระดับสูงของ ศรภ. เข้าชี้แจงในเร็ว ๆ นี้
วิปรัฐบาลขวางเพิ่มวันอภิปราย เช้าวันเดียวกัน ที่รัฐสภา คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) นำโดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ได้ประชุมร่วมกับนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน เพื่อหาข้อสรุปถึงกรอบระยะเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หลังจากพรรคเพื่อไทยยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ขยายเวลาการ อภิปรายออกไปเป็น 3 วัน คือ วันที่ 19-21 มี.ค. และลงมติในวันที่ 22 มี.ค. หรือให้เลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจออกไปเป็นปลายเดือน มี.ค. แทน นายชินวรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลคงไม่ สามารถเลื่อนเวลาออกไปตามที่พรรคเพื่อไทยร้องขอได้ เพราะได้บรรจุญัตติในระเบียบวาระการประชุมเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ขอให้มีการเพิ่มวันอภิปรายเป็น 3 วันนั้น หากฝ่ายค้านอภิปรายให้กระชับระยะเวลา 2 วันน่าจะเพียงพอ รัฐบาลไม่ตั้งองครักษ์พิทักษ์นายกฯ และรัฐมนตรี แต่ได้แต่งตั้งคณะทำงานประสานข้อมูลระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลจำนวน 19 คน โดยมี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน
ตั้ง 3 ทีมป้อนข้อมูลโต้ “ฝ่ายค้าน” นพ.วรงค์ กล่าวว่า วิปรัฐบาลได้แบ่งทีมงาน 3 ส่วน คือ 1.ทีมงานด้านข้อมูลเชิงวิชาการ 2.ทีมงานเชิงยุทธศาสตร์ในสภา และ 3.ทีมงานแถลงข่าวเสริมข้อมูลของรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย ทั้งนี้คณะทำงานได้ประเมินญัตติอภิปรายแล้วคิดว่าอาจมีการพาดพิงถึงรัฐมนตรีอีก 10 คน ซึ่งคณะทำงานได้ประสานไปยังรัฐมนตรีเหล่านี้ให้เตรียมข้อมูลไว้ชี้แจง รัฐบาลจะให้ฝ่ายค้านอภิปรายเต็มที่ จะไม่ประท้วงโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้จะใช้วิธีประท้วงรูปแบบใหม่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ต้องติดตามการอภิปรายในสภา ขณะที่นายวิทยา เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ได้ทำหนังสือตอบกลับมาว่าไม่สามารถขยายเวลาการอภิปรายได้ และยืนยันตามกำหนดเวลาเดิม คือ อภิปรายวันที่ 19-20 มี.ค. และลงมติวันที่ 21 มี.ค. และหากฝ่ายค้านต้องการขอเพิ่มเวลาอภิปรายก็ขอให้ใช้สิทธิตามข้อบังคับที่ 21 ในที่ประชุมสภา ซึ่งในการประชุมสภาวันเดียวกันนี้ ฝ่ายค้านจะได้หารือขอใช้สิทธิตามข้อบังคับดังกล่าวเลย
“พท.” รุมจวก “ปู่ชัย” กลางสภา ต่อมาในช่วงบ่าย ในที่ประชุมสภาผู้ แทนราษฎร โดยก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายตำหนินายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ที่เลื่อนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลมาเป็นวันที่ 19-20 มี.ค. โดยนายชัย ชี้แจงว่า เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วสมัยรัฐบาลนายสมัคร พรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นเป็นฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายวันที่ 18 มิ.ย. 2551 เมื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้วประธานสภาสั่งบรรจุญัตติเข้าระเบียบวาระให้อภิปรายวันที่ 24-25 มิ.ย. และลงมติในวันที่ 26 มิ.ย. ประธานสภา กล่าวต่อว่า ตนไม่ได้มี 2 มาตรฐาน แต่ทำมาตรฐานเดียว และทำด้วยความรอบคอบ เมื่อบรรจุระเบียบวาระแล้ว ถ้าจะเลื่อนสภาก็ต้องมีมติ วันนี้ประชาชนทั้งประเทศตั้งตาฟังข้อมูล ตนก็ถาม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่า เอาหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่า เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ข้อมูลมีหมดแล้วและเป็นผู้เซ็นในญัตติเป็นคนแรก แต่จู่ ๆ คนอื่น ๆ มายื่นประธานสภาบ้าง ยื่นนายกฯ บ้าง ตนบรรจุตนรับผิดชอบ จะเอาไปฆ่าแกงที่ไหนก็ได้ เพราะตนทำถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
ไฟเขียว “เอ็นบีที” ถ่ายทอดสด ร.ต.อ.เฉลิม ลุกขึ้นชี้แจงโดยยอมรับว่า ได้บอกประธานสภาว่าหากปล่อยนานไปตนจะลืมข้อมูล อย่างไรก็ดีขอถามว่าการอภิปรายครั้งนี้มีการถ่ายทอดสดทางทีวีหรือไม่ หากมีขอฝากประธานสภาบอกไปยังรัฐบาลว่าช่วงไพรม์ไทม์ ขอให้สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) อย่านำรายการอื่นสอดแทรกเข้ามาขัดการอภิปราย ขอให้ช่วยดูว่าให้มีการถ่ายทอดสดตลอด ทั้งนี้อำนาจการบรรจุเป็นของประธาน แต่ตนยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยพร้อม ส่วนนายชัย กล่าวว่า จะมีการถ่ายทอดสดการอภิปรายทางเอ็นบีทีตั้งแต่เวลา 09.30 น. เป็นต้นไป นายขจิต ชัยนิคม ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย สอบถามนายชัยว่า มีข่าวว่าการเลื่อนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มาจากความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ก่อนเลื่อนวันอภิปรายมี 2 คนเข้าพบประธานสภา คนหนึ่งเป็นโหรสำนัก คมช. จากเชียงใหม่ อีกคนเป็นหมอเขมรมนต์ดำ ถ้าเป็นเรื่องจริงแสดงว่าประธานสภาตกอยู่ใต้การครอบงำของมนตร์ดำ ทำให้นายชัย กล่าวด้วย เสียงอันดังว่า “ไม่จริงครับ” และตัดบทเข้าสู่วาระการประชุมทันที
ฝ่ายค้านได้เวลาซักฟอก 20 ชม. นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า จากการหารือกับประธานวิปฝ่ายค้านได้ข้อสรุปตรงกันว่าจะใช้เวลาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 วัน รวม 28 ชั่วโมง แบ่งเป็นฝ่ายค้าน 20 ชั่วโมง ที่เหลือเป็นการชี้แจงของนายกฯ และ 5 รัฐมนตรี ส่วนช่วงเวลาที่มีการประท้วง และใช้สิทธิพาดพิงนั้น ฝ่ายไหนใช้สิทธิก็จะนำเวลาไปรวมกับฝ่ายนั้น คาดว่าบริหารเวลาได้ตามนี้จะสามารถลงมติได้ในวันที่ 21 มี.ค. ทั้งนี้ฝ่ายค้านรับปากว่าจะไม่มีการพาดพิงบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องโดยไม่จำเป็น ด้านนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน แถลงว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมผู้อภิปรายไว้ 40 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ชุดแรกมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ พ่วงนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง และนายกษิต ภิรมย์ รมว. การต่างประเทศ มีผู้อภิปราย 20 คน ชุดที่สอง นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง มีผู้อภิปราย 9 คน และชุดที่สาม นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว. มหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย มีผู้อภิปราย 10 คน คาดว่าจะใช้เวลาต่ำสุด 20 ชั่วโมงไม่รวมประเด็นตอบโต้ ดังนั้นเมื่อแบ่งแล้วจะได้ประมาณคนละ 20 นาที
แบ่ง 4 ชุดชำแหละนายกฯ-5 รมต. นายวิทยา กล่าวอีกว่า มี ส.ส.พรรคประชาราช บางคนส่งประเด็นมาให้พรรคเพื่อไทย ส่วนนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช คงจะร่วมประชุมแต่ไม่เข้าร่วมการอภิปราย นอกจากนี้พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ยังแจ้งมาว่าจะขอใช้ดุลพินิจในการลงมติ และอยากให้จับตา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางคนแจ้งว่าอยากจะขอร่วมอภิปรายด้วย แต่ตนไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร รายงานข่าวแจ้งว่า พรรคเพื่อไทยได้นัดแต่งดำมาประชุมสภาเพื่อไว้ทุกข์ให้รัฐบาลด้วย สำหรับทีมอภิปรายของพรรคมีทั้งสิ้น 46 คน แบ่งเป็น 4 ทีม คือ ชุดแรก นายอภิสิทธิ์และนายประดิษฐ์ มี ร.ต.อ.เฉลิม เป็นหัวหน้าทีม ชุดที่สอง นายกษิต มีนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ เป็นหัวหน้าทีม ชุดที่สาม นายกรณ์ มีนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน เป็นหัวหน้าทีม และชุดที่สี่ นายชวรัตน์ และนายบุญจง มีนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส. นครพนม เป็นหัวหน้าทีม
คดีเงินบริจาคส่งถึงมือ “กกต.” ที่สำนักงาน กกต. นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง เปิดเผยว่า ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้ยกคำร้องมติ กกต. ที่สั่งเลือกตั้งใหม่ใน จ.ปัตตานี เขต 2 โดยนายนิมุคตาร์ วาบา และนายยุซรี ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี เขต 2 พรรคเพื่อแผ่นดิน สามารถนำคำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ ไปยื่นต่อประธานสภาและปฏิบัติหน้าที่ต่อได้เลยและมีสิทธิที่จะโหวตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย นางสดศรี กล่าวอีกว่า วันเดียวกันนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้นำสำนวนเรื่องเงินบริจาค 258 ล้านบาท และกรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2548 จำนวน 23 ล้านบาท มามอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว และจะนำเข้าที่ ประชุมกกต. ในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาว่าจะตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนหรือไม่ “หากการสืบสวนพบว่าพรรคไม่ได้นำเงินกองทุนไปใช้จ่ายตามแผนงานโครงการที่ขออนุมัติ กฎหมายก็กำหนดให้เรียกเงินคืน และเป็นเหตุให้นายทะเบียนยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ซึ่งเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วกับ 40 พรรคการเมือง”
ตร.ตรึงกำลังสกัดม็อบบุกสภา อีกด้านหนึ่ง พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมรับทราบนโยบายความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและการเตรียมพร้อมรับมือกลุ่มม็อบเสื้อแดงว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่าจะชุมนุมเมื่อใด แต่ตำรวจมีการเตรียมรับมือเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะระหว่างการประชุมสภาเพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างเต็มที่ เน้นย้ำรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการสำคัญ ป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไป จากการประเมินสถานการณ์แล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง เย็นวันเดียวกัน ที่สี่แยกเขาขาว หมู่ที่ 6 ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล มีการเปิดเวทีประชาธิปไตยรวมพลคนเสื้อแดงภาคใต้ นำทีมโดยนายสุรชัย แซ่ด่าน นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท แกนนำ นปช. มีกลุ่มคนเสื้อแดงและประชาชนในพื้นที่มารับฟังประมาณ 200 คน
140 ส.ส.เพื่อไทยยื่นถอด ป.ป.ช. ที่รัฐสภา ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยตัวแทน และรายชื่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จำนวน 140 คน เข้ายื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อเสนอต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ดำเนินคดีอาญากับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้ง 9 คน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณี ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมัยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมทุจริตต่อหน้าที่ รวมทั้งกรณี ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาแก่อดีตนายกฯ และนายตำรวจระดับสูงที่สลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่ผ่านมา ส.ส. พรรคพลังประชาชนได้ลงชื่อยื่นถอดถอนเรื่อง แต่ปรากฏว่าพรรคได้ถูกยุบก่อน คำร้องจึงตก ไป ต่อมาพวกตนได้เข้าชื่อกันอีกครั้ง เพราะหาก ปล่อยไว้บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ
“หน่อย” กรี๊ดข่าวตีจาก “แม้ว” สำหรับกระแสข่าว ส.ส.กลุ่มคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จะย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยนั้น ล่าสุดคุณหญิงสุดารัตน์ ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง ตนเป็นคนมีน้ำใจเป็นนักกีฬา เมื่อกรรมการเป่านกหวีดตัดสินให้ออกนอกสนามแข่ง แม้จะรู้ว่าการตัดสินไม่เป็นธรรมและไม่ยอมรับในคำตัดสิน แต่ก็เคารพในกฎเกณฑ์กติกา และไม่เคยเข้าไปยุ่งกับการเมืองเลยไม่ว่าจะกับใคร โดยขณะนี้ได้ไปก่อตั้งมูลนิธิไทยพึ่งไทย เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนต่าง ๆ ที่ถูกพิษเศรษฐกิจให้มีอาชีพ “เข้าใจว่าคงเป็นเกมในลักษณะของรัก สามเส้า ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคภูมิใจไทย เป็นเรื่องการแย่งอำนาจและดิสเครดิตกันเอง อยากขอว่าให้เป็นเรื่องของรักสามเส้าเถิด อย่ามาเอาคนนอกอย่างดิฉันไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะข่าวที่จะย้ายไปรวมกับพรรคภูมิใจไทยนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย” อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ระบุ
“ส.ส.ผึ้ง” อ้างว่าเจอกดดันหนัก ส่วนที่ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี อดีต ส.ส.คนสนิท ระบุว่าคุณหญิงสุดารัตน์รับทราบเรื่องที่ไปร่วมประชุมกับพรรคภูมิใจไทยนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่า น.ส.ศุภ มาส ให้สัมภาษณ์ว่าอย่างไร เท่าที่ทราบข่าว น.ส.ศุภมาส ได้ไปลาออกจากพรรคเพื่อไทย จากนั้นมาบอกตนว่าได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้วเพราะถูกกดดันอย่างมาก แต่ตนไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร นอกจากนี้ น.ส. ศุภมาสยังระบุด้วยว่าเมื่อไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยแล้วจะไม่ขอรับตำแหน่งใด ๆ ซึ่งตนก็ไม่ได้ต่อว่าหรือแนะนำอะไร นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า น.ส.ศุภมาสได้มาลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคแล้ว และการที่ไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะผู้ใหญ่หลายคนในพรรคก็รู้ดีว่า น.ส.ศุภมาส มีความสนิทสนมกับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายอนุทิน ชาญวีรกูล บุตรชาย อดีต รมช.สาธารณสุข
ฉะ “โกตั๊บ” เล่นเกมกับ “ปชป.” น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย คนใกล้ชิดคุณหญิงสุดารัตน์ เปิดเผยว่า จากการเช็กจำนวน ส.ส.กลุ่ม กทม. พรรคเพื่อไทย พบว่านอกจาก น.ส.ศุภมาส แล้วไม่มีใครย้ายไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทย ตนยืนยันว่าคุณหญิงสุดารัตน์ ไม่มีปัญหาอะไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ ส.ส. ในกลุ่มก็พร้อมทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยต่อไป ส่วนกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ออกมาระบุว่า คุณหญิงสุดารัตน์พร้อมร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยนั้น น.ต.ศิธา กล่าวว่า สิ่งที่นายสนธิ ระบุ เป็นการตีเกราะเคาะกะลาเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์หันกลับมามอง เพราะเห็นว่าช่วงที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ละเลยกลุ่มพันธมิตรฯ และแกนนำอาจจะต้องถูกดำเนินคดีในเรื่องการปิดสนามบินและสถานที่ราชการ ดังนั้นตนจึงอยากเรียกร้องนายสนธิอย่าดึงคนอื่นเข้ามาร่วมในการเรียกร้องความสนใจครั้งนี้
“ศุภมาส” ยันไม่ได้มาเพราะเงิน ด้าน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ว่า การลาออกไม่ได้บอกคุณหญิงสุดารัตน์เลย เพราะเห็นว่าได้ยื่นลาออกจากพรรคเพื่อไทยแล้ว เจ้าหน้าที่คงไปแจ้งผู้ใหญ่เอง เนื่องจากตนตัดสิน ใจย้ายพรรคแล้วไม่อยากเปลี่ยนความตั้งใจ ซึ่งหากไปแจ้งกับผู้ใหญ่ก่อนก็อาจถูกยับยั้งไว้ สาเหตุ ที่มาอยู่กับพรรคภูมิใจไทย เพราะเห็นว่าเป็นสีน้ำเงิน เป็นกลาง จะช่วยลดความขัดแย้ง เพราะไม่ใช่สีแดง หรือสีเหลือง และไม่ใช่มาเพราะได้เงิน 3-4 แสนบาท นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ากลุ่มของคุณหญิงสุดารัตน์ จะเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทย แต่เบื้องต้น น.ส. ศุภมาส ได้เข้ามาร่วมกับพรรคแล้ว โดยจะมอบหมายให้ทำหน้าที่รองโฆษกพรรค ส่วนนายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร ส.ส. มหาสารคาม พรรคภูมิใจไทย กลุ่มเพื่อนเนวิน ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าคุณหญิงสุดารัตน์ไม่มีทางย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทย เพราะน้ำกับน้ำมันไม่มีทางเข้ากันได้ เมื่อถามย้ำว่าคุณหญิงสุดารัตน์สนิทสนมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายสุชาติ กล่าวว่า เมื่อก่อนนี้ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่
ถอนร่าง ก.ม. หวั่นขัด “ม.190” อีกเรื่องหนึ่ง ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญา พ.ศ. ...ที่เสนอโดย ครม. และร่างที่เสนอโดย น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหลังจาก นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคห้า ประกอบมาตรา 303 (3) บัญญัติให้มีกฎหมายว่าด้วยเรื่องดังกล่าว จากนั้น ส.ส.พรรคเพื่อไทยต่างอภิปรายโจมตีร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้โดยเฉพาะมาตรา 4 วรรคสอง เรื่องหนังสือสัญญาตามวรรคแรก ไม่รวมถึงหนังสือสัญญากู้เงินหรือค้ำประกันเงินกู้ที่รัฐบาลไทยหรือราชอาณาจักรไทยทำขึ้นตามกฎหมายที่ให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะหรือเป็นการทั่วไป โดยเห็นว่าการกำหนดเช่นนี้เป็นการขัดรัฐธรรมนูญ ภายหลัง ส.ส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายทักท้วงนานกว่า 5 ชั่วโมง กระทั่งเวลา 19.45 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ยอมถอนร่างดังกล่าวออกไปแก้ไขใหม่ จากนั้นประธานได้สั่งปิดประชุม.

แจ้งจับอดีตเกษตรจว.ตั้งกองทุนหลอก

งาบเงินชาวบ้าน ชวนฝาก-ตายจ่ายคืน 10 เท่าถึงเวลาญาติกลับได้ไม่ครบสมาชิก 3 หมื่นกว่า 200 ล้าน แจ้งจับอดีตเกษตรจังหวัดและประธานกองทุนเพื่อสวัสดิการผู้สูงอายุ ฉ้อโกงประชาชน ผู้เสียหายนับร้อยคนระบุถูกหลอกเข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุน ด้วยการฝากเงินเข้ากองทุนให้ญาติพี่น้องผู้สูงอายุ 5,000 บาท ถ้าตายได้ 5 หมื่น ถ้าฝาก 1 หมื่น เมื่อตายจะได้รับเงินแสน แต่พอญาติตายทางกองทุนกลับทยอยจ่ายเป็นเบี้ยหัวแตก ยังไม่มีใครได้เงินครบตามจำนวน เผยกองทุนแห่งนี้มีสมาชิกกว่า 3 หมื่นคน มีเงินหมุนเวียน 200 ล้าน โดยผู้ต้องหาอ้างมีคนตายเยอะจึงไม่มีเงินจ่าย เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 18 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านกว่าร้อยคน ทยอยเดินทางเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ต.ประสิทธิ์ สมบุญจิตร สารวัตรเวร สภ.เมืองนครนายก เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายเสถียร ศิริเพ็ญ อายุ 71 ปี อดีตเกษตรจังหวัดนครนายก อยู่บ้านเลขที่ 158 หมู่ 7 ต.บ้านใหญ่ อ.เมืองนครนายก และเป็นประธานกองทุนเพื่อสวัสดิการผู้สูงอายุจังหวัดนครนายก โดยชาวบ้านทั้งหมดบอกกับพนักงานสอบสวน ว่าพวกตนมาจาก จ.ปราจีนบุรี ฉะเชิง เทรา และนครนายก ได้ถูกกลุ่มของนายเสถียรหลอกให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนดังกล่าว ถ้าใครสมัครเป็นสมาชิกและฝากเงินเข้ากองทุนให้กับญาติพี่น้องผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 5,000 บาท ถ้าเสียชีวิตจะได้เงิน 50,000 บาท แต่ถ้าใครฝากเงินเข้ากองทุน 10,000 บาท เมื่อเสียชีวิตจะได้รับเงิน 100,000 บาท ชาวบ้านจำนวนมากหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ แต่พอญาติเสียชีวิต ทางกองทุนกลับทยอยจ่ายให้เป็นเบี้ยหัวแตก ครั้งละ 5,000-10,000 บาท บางรายก็หลายเดือนกว่าจะจ่ายให้ ถึงปัจจุบันยังไม่มีใครได้เงินครบตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ ชาวบ้านจึงตัดสินใจไปขอเงินต้นคืน กลับถูกบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด พ.ต.ต.ประสิทธิ์จึงรายงานให้ พ.ต.อ. นรบุญ แน่นหนา รอง ผบก.ภ.จว.นครนายก และ พ.ต.ท.ธวัชชัย สนิกวาที รอง ผกก.สส. ทราบเรื่อง เนื่องจากคดีนี้มีเงื่อนงำน่าจะทำกันเป็นขบวนการเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท เพราะเท่าที่ทราบกองทุนแห่งนี้ มีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 30,000 คน พ.ต.อ. นรบุญจึงสั่งการให้ไปเชิญตัวนายเสถียรมาสอบปากคำที่โรงพัก ท่ามกลางเสียงสาปแช่งของผู้เสียหาย สอบสวนนายเสถียรให้การว่า ตนเปิดสำนักงานกองทุนฯมาได้ 6 ปีเศษ พร้อมกับแต่งตั้งหัวหน้ากลุ่มออกไปเชิญชวนชาวบ้านให้มาเข้าร่วมในกองทุนจำนวน 35,600 คน โดยมีเงินหมุนเวียนประมาณ 200 ล้านบาท แต่ปัจจุบันมีคนตายเยอะ ทำให้เงินต้นเริ่มหมดไปจากบัญชี ตอนนี้เหลือเงินอยู่เพียงแค่ 400 บาทเท่านั้น เมื่อนายเสถียรพูดจบ ยิ่งทำให้ชาวบ้านไม่พอใจ ปรี่เข้ารุมทำร้ายจนตำรวจต้องห้ามปรามเอาไว้ จากนั้นตำรวจได้ให้ผู้เสียหายทุกคนลงชื่อไว้เพื่อจะเรียกตัวมาสอบสวนในวันต่อไป ส่วนนายเสถียรถูกเจ้าหน้าที่แจ้งดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงประชาชน และได้นำตัวไปขออำนาจศาลเพื่อฝากขังที่เรือนจำ

17คนไทยรับมอบรางวัลคนดีศรีสังคม

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 มี.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการเอกลักษณ์ ของชาติได้มอบใบประกาศเกียรติคุณ “คนดีศรีสังคม” ให้กับประชาชนที่ทำดีต่อสังคม จำนวน 17 คน เพื่อเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจ และยกย่องผู้กระทำความดี ซึ่งเป็นโครงการที่ทาง สปน. ดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติมาตั้งแต่ปี 50 ซึ่งในปีนี้คณะทำงานคัดเลือกคนดีศรีสังคมได้พิจารณาคัดเลือกคนดีตามแนวทางและหลักเกณฑ์ได้ทั้งหมด 17 คน แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.ผู้แสดงออกซึ่งความเมตตา กรุณา ต่อเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากด้วยการอุทิศตนให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จำนวน 2 คน คือ นายขจรศักดิ์ วงเรียง คนขับแท็กซี่ที่ช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีอาการตัวแข็งเกร็ง ภายในรถที่จอดอยู่บนถนน นำส่ง รพ. โดยปลอดภัย และนายสมควร จันทร์ศิริ คนขับแท็กซี่ช่วยเหลือผู้โดยสารชายสูงอายุชาวจีนที่จำทางกลับบ้านไม่ได้ 2. ผู้แสดงออกซึ่งการปกป้อง พิทักษ์สังคมด้วยความกล้าหาญ เสียสละโดยไม่เกรงกลัวต่อภยันตราย จำนวน 2 คน ได้แก่ นาย สมบูรณ์ โลนะชาติ คนขับแท็กซี่ที่ช่วยจับคนร้ายที่วิ่งราวโทรศัพท์เคลื่อนที่ของหญิงสาว จนตำรวจ สามารถขยายผลติดตามจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้ และนายสมพิศ ศรีจันทร์ คนขับแท็กซี่ขับรถปาดหน้ารถ จยย.ของคนร้ายที่กระชากสร้อยคอทอง คำของผู้หญิงจนสามารถจับกุมคนร้ายได้ และ 3.ผู้แสดงออกถึงความซื่อสัตย์ สุจริต เช่น ไม่ยักยอก หรือนำเอาทรัพย์สินมีค่าของผู้อื่นมาเป็นของตน ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะกระทำได้ 13 คน ได้แก่ นายสิทธิพงษ์ ทับเงิน นายพณิช พัชรวงศ์วาณิชย์ นักเรียนชั้น ม.4 รร.ราชวินิตบางแคปานขำ กทม. ที่เก็บกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินสด 6,900 บาท ส่งคืนเจ้าของ น.ส.สุธิดา ฮวดหุ่น ด.ญ.รังสิยา สุขสังวร น.ส.ไอรดา วรนาม น.ส.สุภัตรา บรรณกิจ น.ส. กุลยา ณรัมย์ น.ส.จิตรลดา จิตรภักดี และ น.ส. วรัญรัตน์ กลิ่นแก้ว นักเรียนชั้น ม.3 รร.เจ้าพระยาวิทยาคม กทม. ที่เก็บกระเป๋าสตางค์หล่นบนรถแท็กซี่ มีเงินสดกว่า 2 หมื่นบาท ส่งคืนเจ้าของ นายยงยุทธ วิจิตรลัญจกร คนขับแท็ก ซี่ เก็บเงินสดกว่า 3 หมื่นบาท ของชาวสิงคโปร์ นายสาร ตระการจันทร์ คนขับแท็กซี่ เก็บกระเป๋าบรรจุพลอยดิบมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ที่ชาวต่างชาติลืมไว้บนรถส่งคืนเจ้าของ นายอนุพงษ์ วงษา โรจน์ นักเรียนชั้นปีที่ 1 รร.อาชีวศึกษาฉะเชิง เทรา เก็บแหวนเพชรมูลค่าเกือบ 3 หมื่นบาทที่เจ้าของทำหล่นหายที่ปั๊มน้ำมันเจ็ทส่งคืนเจ้าของ นายกุลวุฒิ นวลฤทัย นักเรียนชั้น ม.5 วัดสุทธิวราราม เก็บกระเป๋าสตางค์ของนักท่องเที่ยวชาวบาห์เรนส่งคืนเจ้าของ.

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

แฉ'กบข.'เสียหายพันล.

ปปท.ทำ'หนังสือ'ขอตรวจสอบด่วน
'ปปท.' ร่อนหนังสือด่วนขอตรวจสอบ 'กบข.' ด้าน 'ตลท.' ลั่นพร้อมป็นอนุกรรมการพิเศษ ขณะที่ 'สตง.' ระบุความเสียหาย 5 เปอร์ เซ็นต์ แต่มูลค่ากว่า พันล้านพร้อมลุยสอบผู้บริหาร กบข. เปิดพอร์ตหุ้นทับซ้อน
เมื่อวันที่ 17 มี.ค. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ ทำหนังสือด่วนมาที่ ยธ. 1200/218 ถึง ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เพื่อขอตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการได้รับเรื่องร้องเรียนจากข้าราชการที่เป็นสมาชิกกบข.ว่า ได้รับใบรับรองและใบแจ้งยอดเงินสมาชิกในปี 2551 ประสบภาวะขาดทุน ทำให้รายได้ที่ควรจะได้รับของกบข.ลดลง โดยป.ป.ท.ได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของกบข.พบว่า การลงทุนในตราสารทุนของภาคเอกชน มีมูลค่าลดลง โดยประการที่น่าจะมีผลต่อการลงทุนที่ประสบภาวะขาดทุน อันเกิดจากการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ จึงได้แจ้งต่อเลขาธิการกบข.เพื่อขอเข้าตรวจสอบโดยมีหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการลงทุนเข้าร่วม ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (บอร์ดกบข.) มีมติอย่างไม่เป็นทางการให้ตั้งอนุกรรมการพิเศษขึ้นมาตรวจสอบการดำเนินงานของ กบข. ว่า ตลท. และ วิทยาลัยพัฒนาตลาดทุน ยินดีที่จะเข้าร่วมเป็นกรรมการ เพื่อให้อนุกรรมการที่กบข.ตั้งขึ้นสามารถให้คำอธิบายที่ชัดเจนกับสมาชิกและเกิดความกระจ่างในข้อสงสัยที่เกิดขึ้น โดยการลงทุนของกบข.ต้องเป็นไปตามกรอบที่กฎหมาย กำหนด แต่การลงทุนประเภทที่มีความเสี่ยง ต้องอธิบายให้สมาชิกเข้าใจได้ ถึงส่วนผสมของการลงทุน ทั้งตราสารหนี้ ตลาดหุ้น ว่าให้ผล ตอบแทนแตกต่างกันอย่างไร ขณะที่แหล่งข่าวจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยว่า สตง.กำลังตรวจสอบการเปิดพอร์ตลงทุนหุ้นของคณะกรรมการและผู้บริหาร กบข. เนื่องจาก กบข.ถือเป็นนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ที่การซื้อขายหุ้นแต่ละครั้งสามารถชี้นำตลาดได้ในระดับหนึ่ง หากคณะกรรมการและผู้บริหารของ กบข.เปิดพอร์ตลงทุนในหุ้นเองอาจถือว่าไม่เหมาะสม และมีผลประโยชน์ทับซ้อนได้ ดังนั้น สตง.จึงต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของ กบข.ที่ผู้บริหารระบุว่ามีความเสียหายเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น หากพิจารณาพอร์ต ลงทุนรวมของกบข.ที่มีกว่า 3 แสนล้านบาทนั้น จะพบว่าความเสียหาย 5 เปอร์เซ็นต์ นั้นมีมูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่เล็กน้อยเลยในการทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างรอบคอบ โดยในวันที่ 27 มี.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ตามวาระปกติซึ่งอาจจะพิจารณาตำแหน่งของเลขาธิการ กบข.ร่วมด้วย.

สำนวนคดี'เต๋า'ถึงอัยการแล้วนัดรับฟังคำสั่ง

ร่อนสำนวนคดีดารา-นักร้องจอมบู๊ “เต๋า-สมชาย” ถึงสำนักงานอัยการคดีศาลแขวงลำปาง นัดดีเดย์รับฟังคำสั่งว่าจะส่งฟ้องคดีหรือไม่ 7 พ.ค.นี้ ด้าน เต๋า-สมชาย ที่เดินทางมาพร้อมทนายตามคำสั่ง พงส. ลั่น “เชื่อว่าวันหนึ่งความดีที่มีอยู่ในโลกนี้ทุกคนจะได้เห็น” ขณะที่อัยการฯ ยันพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย
คดีบู๊สะท้านเมืองที่ เต๋า-สมชาย เข็มกลัด ดาราหนุ่มชื่อดัง ทะเลาะวิวาทกับนายวีรชาติ เด่นศิริกุล หรือ โกตา เจ้าของร้านขายของชำใน อ.เมืองลำปาง จนมีเรื่องฟ้องร้องเป็นคดีความ ถึงขั้นที่ เต๋า-สมชาย ต้องเข้าพบ ผบ.ตร. ขอให้เปลี่ยนพนักงานสอบสวน อ้างว่าเพื่อความเป็นธรรม ตามข่าวที่นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องนั้น ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 17 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เต๋า-สมชาย พร้อมด้วยนาย รัฐพล พุธรอด ทนายความ เดินทางจาก จ.เชียง ใหม่ ด้วยรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ทะเบียน กว 3004 เชียงใหม่ มาที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงลำปาง เมื่อ เต๋า-สมชายเดินทางมาถึงและเห็นกลุ่มผู้สื่อข่าวจำนวนมากที่มารอทำข่าว ถึงกับมีสีหน้าไม่ค่อยจะดีแต่ยังฝืนยิ้มออก มาได้ จากนั้นดาราหนุ่มชื่อดัง ได้เข้าพบกับ พ.ต.ท.โสภณ ผลกันทา รอง ผกก.สส.สภ.เมืองลำปาง และ ร.ต.ท.วรเทพ คำดี เจ้าของคดีที่นำสำนวนมีความหนา 122 หน้า มารออยู่ก่อนแล้ว เพื่อส่งสำนวนคดีพร้อมตัวผู้ถูกกล่าวหาให้กับนางอำไพ เชาวน์ชัย อัยการจังหวัดคดีศาลแขวงลำปาง ต่อมา เต๋า-สมชายและทนายความได้เข้าพบกับอัยการฯ โดยใช้เวลาพูดคุยนานประมาณ 40 นาที จึงออกมาและให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่า “เชื่อว่าวันหนึ่งความดีที่มีอยู่ในโลกนี้ทุกคนจะได้เห็น ส่วนเรื่องที่ถามว่าได้ติดต่อกับโกตาบ้างหรือไม่นั้นผม ไม่ขอตอบ” ด้านนายรัฐพล ทนายความของเต๋า-สมชาย กล่าวว่าที่มาวันนี้ก็มาตามที่เจ้าพนักงานสอบสวนได้นัดเอาไว้เพื่อส่งสำนวนให้กับทางอัยการจังหวัด ทั้งนี้ หลังเข้าพบอัยการจังหวัด ท่านรับปากว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีความรู้สึกว่าเบาใจเป็นอย่างมาก นางอำไพ อัยการจังหวัดคดีศาลแขวงลำปาง กล่าวว่า ตอนนี้ได้ตรวจสอบสำนวนแบบคร่าว ๆ แล้ว จึงรับเรื่องเอาไว้ก่อน โดยนัดให้ ผู้ถูกกล่าวหามาฟังว่าจะส่งเรื่องฟ้องศาลได้หรือไม่ในวันที่ 7 พ.ค.นี้ แต่หากสำนวนยังมีจุดบกพร่อง หรือต้องสอบเพิ่มก็จะทำการเลื่อนนัดออกไปอีก และพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย อย่าง ไรก็ตาม คดีนี้ก็เป็นแค่คดีทำร้ายร่างกาย ในมาตรา 295 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท.

ผบ.ทบ.จี้ให้จับขบวนการล้มรัฐบาล

เสื้อแดงเลื่อนชุมนุม
จี้ตำรวจ จับขบวนการล้ม “รัฐบาล-กองทัพ” ขั้นเด็ดขาด เหตุปล่อยไว้นานความขัดแย้งไม่จบ “ผบ.ทอ.” เผย ผบ.เหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์ เชื่อไม่มีอะไรน่าห่วง วอนประชาชนใช้วิจารณญาณก่อนตัดสิน ด้าน “เทพเทือก” ไม่หวั่น ม็อบเสื้อแดงเลื่อนชุมนุมเร็วขึ้น ยันทุกอย่างทำตาม ก.ม.ใครฝ่าฝืนต้องถูกดำเนินคดี “ชวน” ปลอบ “มาร์ค” ไม่ต้องเป็นทุกข์ โดน “ทักษิณ” โฟนอินโจมตี ระบุ ป.ป.ช.ชี้มูล 7 ผู้ต้องหาสลาย “7 ตุลา” เป็นไปตามกระบวนการ วอร์รูมปชป.วิเคราะห์การเมืองมุ่งล้มรบ.-ดึง “แม้ว” พ้นผิด ด้าน 140 ส.ส.เพื่อไทย เข้าชื่อประธานวุฒิ เตรียมส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาเอาผิด ป.ป.ช.ตาม ม.157 “เชาวริน” เผยอยู่ร่วมที่ประชุมครม.สมชายนัดพิเศษ ยันไม่มีการสั่งสลายม็อบ พร้อมเป็นพยานให้ลูกพี่เก่า “เสื้อแดง” ดีเดย์ชุมนุมใหญ่ เลื่อนวันเร็วขึ้น ส่วนคนสนิท “สมชาย” เผยนายเตรียมแถลงแก้ข้อกล่าวหา ขณะที่ ผบ.ตร.ย้ำ เหตุสลายม็อบทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
ความแตกแยกทางความคิดในสังคมไทย ถึงขั้นแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน กรณี “เสื้อเหลือง-เสื้อแดง” ทำท่าจะปะทุขึ้นมาอีกรอบ ภายหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีคำสั่งแจ้งข้อกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ รวมทั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีก 5 นาย คดีสั่งสลายม็อบหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ฐานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยนายตำรวจทั้ง 5 โดนฐานผิดวินัยด้วย ความผิดมากน้อยแตกต่างกันไป ขณะที่ม็อบเสื้อแดงยังคงตามราวีรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เลิก ล่าสุดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เจอฤทธิ์ “ปาไข่” ขณะไปปฏิบัติหน้าที่ที่ จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่จับกุมมือดีไว้ได้ 4 คน ศาลสั่งจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 1,000 บาท โทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปี ความคืบหน้า ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 08.00 น. วันที่ 17 มี.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจะเลื่อนการชุมนุมให้ใกล้เข้ามา เหมือนกับที่รัฐบาลเลื่อนวันอภิปรายในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เร็วขึ้นว่า ไม่เป็นปัญหา เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เมื่อถามว่ามีการประเมินหรือไม่ว่าการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เกาะติดการอภิปรายฯ อาจจะลุกลามเป็นแนวร่วมใหญ่ขึ้นมา โดยมี รมว.มหาดไทย ออกมาสำทับว่าจะจัดเป็นโซนนิ่ง นายสุเทพ กล่าวว่า ขอให้พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนช่วยจับตาดู ตนไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์หรือให้ความเห็นอะไรมาก เพราะไม่ต้องการให้ไปตีความว่าเป็นการยั่วยุ นายสุเทพ กล่าวถึงปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ลุกลามมากขึ้น รวมถึงการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เขามีเป้าหมายชัดเจน คือต้องการให้บ้านเมืองยุ่งเหยิง วุ่นวาย เพื่อปูทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลับประเทศ แต่ตนไม่หนักใจ เพียงรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศกระทบกระเทือน และเป็นช่วงเวลาที่เราต้องการให้ชาวโลกได้เห็นว่าเรามีพื้นฐานทางวัฒนธรรมทางการเมืองที่เข้มแข็ง แต่คนเหล่านี้พยายามทำลายภาพลักษณ์ดี ๆ ไป ผู้สื่อข่าวถามว่า มีนักวิชาการ และสื่อมวลชนเตือนว่าการ “โฟนอิน” จะส่งผลกระทบต่อรัฐบาล แต่รัฐบาลเลี่ยงที่จะพูดถึง นายสุเทพ กล่าวว่าทุกฝ่ายมีสิทธิแสดงความคิดเห็น เราก็ติดตามสถานการณ์ต่อไป ตนมีหน้าที่แก้ปัญหา เมื่อถามย้ำว่า มีการประเมินหรือไม่ว่า พ.ต.ท. ทักษิณ จะกลับเข้ามาด้วยวิธีใด นายสุเทพ กล่าวว่า “ผมไม่ทราบ” ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลมีแนวคิดจะนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในกลับมาใช้ควบคุมการชุมนุมในลักษณะกำหนดโซนนิ่งจริงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มี ตนเพิ่งจะได้ยินจากสื่อมวลชนที่ถาม เรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกับนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย แต่อย่างใด เมื่อถามย้ำว่าการจัดโซนนิ่งมีความเป็นไปได้หรือไม่ รองนายกฯ ดูแลฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ฝ่ายที่ก่อปัญหายังไม่วิจารณ์แล้วเราจะไปวิจารณ์ฝ่ายเดียวทำไม ผู้สื่อข่าวถามว่านักวิชาการมองว่าอาจจะเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน นายสุเทพ กล่าวว่า จุดยืนของตนกับนายกฯ และคนในรัฐบาล เคารพการแสดงออกของประชาชน แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ฝ่าฝืน มิฉะนั้นเราจะต้องดำเนินการ นายสุเทพ ยังกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งข้อกล่าวหากับอดีตนักการเมือง และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย ที่เป็นคนสั่งสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ว่า เรื่องนี้จะคลี่คลายอย่างไรต้องไปถามคนอื่น ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ อีกทั้ง ป.ป.ช.ก็เป็นองค์กรอิสระ ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่เมื่อ ป.ป.ช. มีคำสั่งออกมา ทางผู้ถูกกล่าวหากลับยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ นายสุเทพ กล่าวว่า ถูกต้อง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อ ป.ป.ช.ตั้งข้อหา ก็ต้องเรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง เมื่อจบกระบวนการ ป.ป.ช.ก็ดำเนินการในชั้นศาลต่อไป “ผมยืนยันว่า ผมไม่มีหน้าที่ต้องไป โอบอุ้มใคร เพราะผมทำตามกฎหมาย” ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภา ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการโฟนอินโจมตีรัฐบาลอย่างหนักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นเรื่องธรรมดา เป็นรัฐบาลต้องมีอุปสรรค บ้าง ไม่ต้องกังวลอะไร เพราะเรารู้เป้าหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าต้องการช่วยหาเสียง ส่วนกรณี ป.ป.ช.แจ้งข้อหาเอาผิดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และนายตำรวจอีก 4 นาย กรณีมีคำสั่งสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ว่า ต้องถือเป็นอำนาจของฝ่ายผู้ตรวจสอบ และเป็น สิทธิของอีกฝ่ายที่จะแก้ตัว ชี้แจง หรือสู้ข้อ กล่าวหา อยู่ที่หลักฐานของแต่ละฝ่ายจะนำมายันกัน ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งข้อกล่าวหาผู้สั่งการอ่อนไปนั้น ตนไม่ทราบเพราะยังไม่เห็นสำนวน ดูเพียงข่าวที่ออกมาเท่านั้น พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. กล่าวถึงกรณีที่มีความพยายามของขบวนการล้มรัฐบาล และกองทัพ ตามแผน “ตากสิน” ว่า กองทัพเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีการกระทำนอกเหนือกฎหมาย ผู้รักษากฎหมาย หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด หากปล่อยปละละเลย ไม่ดำเนินการจริงจัง จะมีข้อขัดแย้งเพิ่มขึ้นไม่จบ อย่างไรก็ตาม ข้อมูล จากสื่อ และเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากขึ้น อะไรที่ไม่เป็นความจริง ประชาชนมีความรู้ความคิด แยกแยะได้ สิ่งไหนดี ไม่ดี และควรเชื่อถือหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้บัญชาการเหล่าทัพได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามสถานการณ์ หากเห็นว่ามีแนวโน้มจะเกิดความรุนแรง ก็จะประชุมหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไข แต่ขณะนี้ยังไม่มีอะไรน่าห่วง ส่วนกรณี ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่ารู้สึกผิดหวังที่แต่งตั้ง พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็น ผบ.ทอ.นั้น ตนไม่มีข้อคิดเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ คิดในส่วนของท่านเมื่อนึกถึงใครได้ คิดว่าเป็นความพยายามพูดไปเรื่อย ๆ แต่คนฟังควรใช้วิจารณญาณว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคฯ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะทำงานปฏิบัติการทางการเมือง (วอร์รูม) พรรคประชาธิปัตย์ ประเมินสถานการณ์ของประเทศ เพื่อเสนอผลการประชุมต่อที่ประชุมพรรคในบ่ายวันเดียวกัน โดยวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่าไม่น่าไว้วางใจ เพราะมีการเคลื่อนไหวไม่ปกติ ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย แต่สร้างเงื่อนไขเพื่อข้อบรรลุ 2 อย่าง คือ 1.สร้างอำนาจต่อรองเพื่อนำสู่การให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นจากความผิดในอดีต เช่น แก้กฎหมายนิรโทษกรรม หรือขอพระราชทานอภัยโทษ และ 2.เพื่อล้มรัฐบาล ทั้งนี้ในวันที่ 18 มี.ค. ทีมวอร์รูมจะร่วมประชุมกับคณะทำงานวิปรัฐบาล เพื่อให้พรรคร่วมรัฐบาลรับรู้ถึงการประเมินสถานการณ์ดังกล่าว และเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเป็นห่วงว่าการอภิปรายจะเป็นแบบเก่า บิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้คนไม่เชื่อมั่นว่าเวทีสภาจะเป็นทางออกของประเทศได้ อีกด้านหนึ่ง ที่พรรคเพื่อไทย ร.ต.ท. เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน และพ.ต.ท. สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรค เพื่อไทย ร่วมกันแถลงยืนยันว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ ไม่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ หน้ารัฐสภา โดยร.ต.ท.เชาวริน กล่าวว่าในการประชุมครม.นัดพิเศษ คืนวันที่ 6 ต.ค. 2551 ที่ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว สนามบินดอนเมือง ตนและพ.ต.ท.สมชาย พร้อมด้วย พล.ต.ศรชัย มนตริวัตร ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในขณะนั้น เข้าร่วมสังเกตการณ์ประชุมตามคำเชิญของนายสมชายด้วย ที่ประชุมไม่มีการสั่งการ ใด ๆ ให้สลายการชุมนุม เนื้อหาส่วนใหญ่พูดคุยถึงการย้ายสถานที่ประชุมสภา เพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลในเช้าวันที่ 7 ต.ค. โดยได้สอบถามไปยังนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา แต่นายชัยตอบ กลับมาว่าการแถลงนโยบายรัฐบาลต้องแถลงที่สภาเท่านั้น ย้ายสถานที่ประชุมไม่ได้ ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวต่อว่า หลังประชุม ครม.นัดพิเศษเสร็จสิ้น ตนและพ.ต.ท.สมชาย ติดตาม พล.อ.ชวลิต ไปที่บช.น.เพื่อตรวจดูความพร้อม และหารือกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ยืนยันว่าพล.อ.ชวลิต ไม่ได้สั่งการใด ๆ ให้ตำรวจสลายการชุมนุมเช่นกัน มีเพียงกำชับให้ตำรวจดูแลความสงบเรียบร้อยเท่านั้น ดังนั้นการที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายสมชาย และพล.อ.ชวลิต จึงเป็นการปฏิบัติมิชอบ พวกตนพร้อมเป็นพยานให้นายสมชาย และพล.อ. ชวลิต ส่วนที่บอกว่าตำรวจสลายการชุมนุมแล้วมีคนเสียชีวิต เป็นการบิดเบือนข้อมูลเพราะสถานที่ที่ทั้งสองคนเสียชีวิต ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่หน้ารัฐสภาแต่อย่างใด “ดังนั้นพวกผม พร้อมส.ส.ของพรรค 140 คน จะได้เข้าชื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภาอีกครั้ง ในวันที่ 18 มี.ค.นี้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 249 เพื่อให้ดำเนินการส่งคำร้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อ พิจารณาความผิด ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ในความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157 เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ถูกต้อง และมีส่วนสำคัญในการทำลายระบอบประชาธิปไตย จะปล่อยไว้ไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 125 ยืนยันว่าไม่ใช่การแก้แค้น หรือเอาคืน ป.ป.ช. หลังชี้มูลความผิด” ร.ต.ท.เชาวริน ย้ำ ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย คนสนิทนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ กล่าวว่านายสมชายทราบเรื่องถูกป.ป.ช. แจ้งข้อหาแล้วจากสื่อมวลชน แต่ยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามหากได้รับแจ้งเป็นทางการ นายสมชายจะเปิดแถลงข่าวอีกครั้ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า เมื่อมีการเปลี่ยนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นวันที่ 19-20 มี.ค.นี้ กลุ่มเสื้อแดงอาจจะเลื่อนการชุมนุมขึ้นมาอีก แต่ยืนยันว่าจะไม่ไปชุมนุมตรงกับวันที่อภิปรายอย่างแน่นอน อีกทั้งในวันที่ 21 และ 22 มี.ค.นี้จะมีการชุมนุมที่ จ.เชียงราย และเชียงใหม่ ดังนั้นการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่จะขยับเลื่อนขึ้นมาหลังวันที่ 22 มี.ค. จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าวันที่ 29 มี.ค. โดยจะเริ่มต้นชุมนุมที่ท้องสนามหลวง แล้วเดินขบวนมายังทำเนียบรัฐบาล ปิดถนนราชดำเนินทั้งสองทาง ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินในการชุมนุมดังกล่าวหรือไม่ ต้องรอดูเหตุการณ์อีกระยะหนึ่ง ยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินบ่อยครั้งในระยะหลัง เป็นการประกาศตัวออกมาสู้กับรัฐบาลอย่างชัดเจน ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวภายหลังปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบสถานการณ์ยาเสพติด ที่ จ.เชียงราย กรณีถูก ป.ป.ช.ชี้มูลมีความผิดทางวินัยในเหตุการณ์สลายม็อบเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของกฎหมาย และปฏิบัติไปตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ตนมั่นใจว่าชี้แจงได้ทุกเรื่อง เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายยังคงมีขวัญกำลังใจที่ดีในการทำงาน ผู้สื่อข่าวถามว่า จะนำคำสั่งที่ลงนามผู้บังคับบัญชาไปชี้แจงด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า เป็นเรื่องของกฎหมาย ตำรวจทุกคนทำตามหน้าที่ เมื่อถามย้ำว่า คำสั่งดังกล่าวลงนามลายลักษณ์อักษรด้วยหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่ารวบรวมรายละเอียดไว้ทั้งหมด รวมถึงภาพเหตุการณ์ด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาของ ป.ป.ช.อิงผลสอบของคณะกรรมการฯชุดก่อนหน้านี้หรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่าไม่ทราบ ขณะนี้ตนได้ให้ พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร. รวบรวมเหตุการณ์ทั้งหมด ส่วนการดูแลการชุมนุมครั้งต่อไป สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายใช้การเจรจา อดทนอดกลั้นมาโดยตลอด ห้ามเกิดการปะทะ และไม่ให้ใช้ความรุนแรง เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค. เราไม่ได้ใช้ความรุนแรง เพียงแต่ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ต้องเข้าใจว่าทุกองค์กรมีหน้าที่ตามกฎหมาย ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่พอใจ ป.ป.ช.ที่แจ้ง ข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ พล.ต.อ. พัชรวาท กล่าวว่า ไม่ใช่ เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ต้องทำตามกฎหมาย ที่ กก.2 บก.ตปพ. (ป้องกันและปราบปรามจลาจล-ปจ.) สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. พร้อมด้วย รอง ผบช.น.เป็นประธานเปิดพิธีอบรมทางการควบคุมฝูงชน เพื่อซักซ้อมความพร้อม ทักษะ และความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ มีกำลังพลของ บก.น. 2, 3, 4, 5, 6 และ ตปพ.รวม 7 กองร้อย เข้าร่วมฝึก จากนั้น พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าวว่า การฝึกปจ.ในครั้งนี้ เพื่อซักซ้อมการรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมตามปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมที่อาจจะมีขึ้นในวันที่ 19-20 มี.ค.นี้ ส่วนที่มีนายตำรวจระดับรอง ผบช.น.บางนายถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนั้น คงจะได้มีการประชุมกันอีกครั้งว่าจะยังคงให้ทำหน้าที่ดูแลเหตุการณ์หรือไม่ คงแล้วแต่ความสมัครใจ ผู้สื่อข่าวถามว่าจะยังใช้แก๊สน้ำตาอีกหรือไม่ ผบช.น. กล่าวว่า หากจำเป็นจริง ๆ ก็คงไม่ใช้แบบยิง แต่จะใช้แบบขว้าง วันนี้มีการสาธิตใช้แก๊สน้ำตาโยนใส่กลุ่มปจ.ด้วย เพื่อจะได้ทราบถึงอานุภาพว่าเป็นอย่างไร ที่สำนักงาน ป.ป.ช.นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ป.ป.ช. มีมติแจ้งข้อหานักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ 7 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากการสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บว่า ขณะนี้ ป.ป.ช.ได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คนไปเรียบร้อยแล้ว โดยให้ทุกคนมารับทราบข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช.ในวันที่ 27 และ 30 มี.ค.นี้ หลังจากนั้นจะต้องมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน โดย ป.ป.ช.พร้อมให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคน ผู้ถูกกล่าวหาอ้างพยานเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่จำเป็นที่จะต้องแยกสำนวนของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คน ออกเป็นคนละสำนวนแต่อย่างใด และระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ยังไม่ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ ระบุไม่มีส่วนรู้เห็นหรือสั่งการในเหตุการณ์สลายม็อบหน้ารัฐสภา เพราะได้ยื่นหนังสือลาออกในวันดังกล่าวแล้วว่า เป็นสิทธิที่อ้างได้ ซึ่งพล.อ.ชวลิตก็ต้องนำพยานหลักฐานมาชี้แจงต่อป.ป.ช.เพื่อต่อสู้คดี แต่ขณะนี้ถือว่า ผู้ถูก กล่าวหาทั้ง 7 คน ยังไม่มีใครมีความผิด เป็นแค่การแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น หากหลักฐานที่ ทุกคนนำมาชี้แจงมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือเพียงพอ ป.ป.ช.ก็อาจจะยกคำร้องได้ ทั้งนี้ระบุไม่ได้ว่า จะใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะชี้มูลความผิดได้ ขึ้นอยู่กับผู้ถูกกล่าวหาจะอ้างพยานหลักฐานต่อสู้คดีมากน้อยเพียงใด แต่ ป.ป.ช.จะเร่งทำคดีโดยเร็ว เพราะถ้าคดีเสร็จช้า ก็จะไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา สำหรับผู้ถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบทั้ง 7 คน ประกอบด้วย 1.นาย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ 2.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ ผิดกฎหมายอาญา 3.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. 4.พล.ต.อ. วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร. ผิดวินัย 5.พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.(ตำแหน่งในขณะนั้น) 6.พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบช.น. และ7.พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น. ผิดทั้งวินัย และอาญา.

อภิสิทธิ์พร้อมสู้ศึกซักฟอกทุกประเด็น

นายกฯ เผย ตนและรมต.ที่มีชื่อ พร้อมแล้วสำหรับการอภิปรายฯ จากฝ่ายค้าน ไม่หนักใจกรณีเงินบริจาค เพราะเป็นเรื่องเก่า ปัดไม่เคยไปเจอเนวิน เพื่อขอเลื่อนวันซักฟอก...
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ตนเองและรัฐมนตรีมีความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมถึงกรณีเงินบริจาค 250 ล้านบาท จากบริษัททีพีไอ ซึ่งไม่มีความเป็นห่วงว่าสังคมจะไม่เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งขณะนั้นตนไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคและไม่ใช่เรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน อีกทั้งยังไม่กลัวว่าจะถูกเชื่อมโยงไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์เพราะมีกระบวนการทางกฎหมายอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไม่มีรัฐมนตรีคนใดรู้สึกกังวล และไม่รู้สึกเป็นห่วงเรื่องอารมณ์ของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายกฯ ระบุถึงการขยายเวลาในการอภิปรายฯ ว่า ขึ้นอยู่กับที่ประชุมสภาและสถานการณ์ในการอภิปราย แต่รัฐบาลไม่ปิดกั้น พร้อมกับไม่เคยไปเจรจากับนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เพื่อขอเลื่อนวันอภิปรายให้เร็วขึ้น.

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

การสอบสวนเพลิงไหม้

เหตุไฟไหม้ที่ซานติก้าผับก่อให้เกิดความตื่นตัวในเรื่องของเพลิงไหม้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้นเพลิงอยู่ที่ไหน ทำไมจึงหนีกันไม่ทัน ผู้เชี่ยวชาญด้านผจญเพลิงก็ได้ออกมาอธิบายความโดยใช้หลักวิชา ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้เลยว่าคนทั่วไปยังมีความรู้เรื่อง “ไฟ” น้อย ทั้ง ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากไฟและได้รับโทษจากไฟกันมาอย่างไม่หยุดหย่อน โดยหลักวิชาแล้ว “ไฟ” คือ เหตุการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่สลับซับซ้อนและมีผู้ให้คำจำกัดความไปต่าง ๆ นานา ตัวอย่าง เช่น P.J. Thatcher บอกว่าไฟคือ ปฏิกิริยาเคมีของเชื้อเพลิง (ซึ่งอาจอยู่ในสถานะของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ) ทำให้เกิดความร้อนและแสงอันเนื่องจากปรากฏการณ์ออกซิเดชั่นของเชื้อเพลิงเหล่านี้จากออกซิเจนที่อยู่ในอากาศ พลตำรวจโทอรรถพล แช่มสุวรรณวงศ์ อธิบายไว้ในตำรานิติวิทยาศาสตร์เพื่อการสืบสวนสอบสวน ตอนหนึ่งว่า ทฤษฎีของไฟที่เชื่อกันมากว่า 100 ปีนั้นกล่าวไว้ว่า เพลิงจะลุกไหม้ได้ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ เชื้อเพลิง (Fuel) ออกซิเจน (Oxygen) และความร้อน (Heat) โดยจะขาดองค์ประกอบใดไม่ได้ เช่น เวลาจุดเทียนแล้วเมื่อนำแก้วมาครอบเทียนไฟก็จะดับ แสดงถึงขาดออกซิเจน หรือการใช้น้ำราดไปบนกองหนังสือที่ลุกติดไฟ แล้วไฟจะดับนั้นก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งของการขาดองค์ประกอบของความร้อน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ ทฤษฎีของไฟที่ใช้องค์ประกอบทั้งสามอย่างเปลี่ยนแปลงไปโดย National Fire Academy อธิบายเรื่องนี้ในลักษณะของวงจรชีวิตของไฟ ซึ่งประกอบด้วย l ความร้อน
l เชื้อเพลิง l ออกซิเจน l การผสมสัดส่วนและ l การจุดตัวต่อเนื่อง องค์ประกอบดังกล่าวล้วนจำเป็นต่อการเริ่มต้นและ การต่อเนื่องของการลุกไหม้จึงเปลี่ยนจากลักษณะสามเหลี่ยม ของ ไฟ (Fire Triangle) มาเป็น พีระมิดของไฟ (Fire Tetrahedron) ซึ่งจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบ 3 ตัวแรก คือ สามเหลี่ยมของไฟที่เคยเรียนรู้กันมาบวกเข้ากับองค์ประกอบที่เหลือ เมื่อรวมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง เป็นลูกโซ่หมุนเวียนของไฟที่รู้จักกันดีว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่ (Chain Reaction) ดังนั้นในวงจรชีวิตของไฟนั้นจะประกอบด้วยรูปร่างใหม่คือ Tetrahedron ซึ่งแต่ละด้านจะมีความร้อนเชื้อเพลิง ออกซิเจน และปฏิกิริยาลูกโซ่เป็นองค์ประกอบ (ดูภาพประกอบ) จากทฤษฎีของไฟนี้ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและนักนิติวิทยาศาสตร์ต้องผ่านการฝึกอบรมอีกหลายขั้นตอน ก่อนจะประยุกต์ความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติตั้งแต่การตรวจสถานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ การตรวจสอบอย่างเป็นระบบ การปะติดปะต่อเหตุการณ์ในคดีเพลิงไหม้ ซึ่งมักจะทำได้ยากกว่าคดีอื่น ๆ เนื่องจากมีการใช้น้ำดับเพลิง ทำให้ทรัพย์สินสิ่งของที่วางอยู่เคลื่อนย้ายไปจากตำแหน่งเดิมหรือบางครั้งต้องเคลื่อนย้ายสิ่งของต่าง ๆ เพื่อค้นหาไฟที่ยัง ดับไม่สนิท ผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้จึงต้องมีคุณสมบัติที่เป็นคนช่างสังเกต มีความเข้าใจในธรรมชาติของไฟเป็นอย่างดี พยายามอ่านพยานวัตถุทุกชิ้นในที่เกิดเหตุ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การตรวจที่เกิดเหตุอย่างเป็นระบบมีขั้นตอนที่ถูกต้อง จึงจะนำไปสู่ความสำเร็จในการบ่งชี้จุดต้นเพลิงและสาเหตุของเพลิงไหม้.

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

พสกนิกรเฝ้ารับเสด็จ-รอฟังผลตรวจพระวรกาย

ประชาชนทยอยเดินทางมาเฝ้ารอรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรอฟังผลการตรวจพระวรกายที่ โรงพยาบาลศิริราช อย่างต่อเนื่อง

(12มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่โรงพยาบาลศิริราช ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี นาถ เสด็จพระราชดำเนินมายังอาคารเฉลิมพระเกียรติ พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ เพื่อตรวจพระวรกาย ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
โดยบริเวณชั้นล่างของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ยังมีประชาชนที่มาเฝ้ารอเฝ้ารับเสด็จ และรอฟังผลการตรวจพระวรกายของพระองค์จากคณะแพทย์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประชาชนที่มาเฝ้ารอรับเสด็จเมื่อคื่นที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ได้พักค้างคืนบริเวณอาคารเฉลิมพระเกียรติ
อย่างไรก็ตามการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯครั้งนี้ ทางสำนักพระราชวังแจ้งว่า พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเพื่อตรวจเช็กพระวรกายตามกำหนดเวลา และตามที่คณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราชได้กราบบังคมทูลเชิญ